“7 วันรอบโลก” สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ ขอยกเรื่องดีๆ ไม่เครียด มาเขียนตบท้ายให้อิจฉากันเล่นๆ กรณีที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) จัดอันดับให้ “ราชอาณาจักรนอร์เวย์” เป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัยเป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน เป็นเครื่องการันตีว่าประเทศนี้ “เลิศเลอเพอร์เฟกต์” ไม่ธรรมดาแน่ๆ
เมื่อ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ยูเอ็นเผยแพร่รายงาน “ดัชนีการพัฒนามนุษย์” (เอชดีไอ) ของ 188 ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2558 ซึ่งใช้เป็นตัวจัดอันดับประเทศดีที่สุดในโลก โดยใช้ปัจจัยวัดหลายอย่าง ทั้งด้านสุขภาพ อายุขัยเฉลี่ย การศึกษา คุณภาพชีวิต และรายได้เฉลี่ยต่อหัวของพลเมืองในแต่ละประเทศ
ปรากฏว่าจากคะแนนเต็ม 1 นอร์เวย์ได้คะแนนรวมสูงสุดที่ 0.944 โดยมีค่าอายุขัยเฉลี่ยของพลเมือง 81.6 ปี มีรายได้เฉลี่ยของพลเมืองถึง 64,992 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2,300,000 บาท) ต่อคนต่อปี
อันดับรอง 2-5 คือ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ประเทศที่มีค่าเอชดีไอต่ำสุดคือ “ไนเจอร์” ตามด้วย สาธารณรัฐแอฟริกากลาง เอริเทรีย ชาด และบูรุนดี
ส่วน “ไทยแลนด์” ติดอันดับ 93 ร่วงลงจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ โดยมีค่าเอชดีไอ 0.726 มีค่าอายุขัยเฉลี่ย 74.4 ปี มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี 13,323 ดอลลาร์ฯ (ราว 470,000 บาท) ต่ำกว่านอร์เวย์ 4.89 เท่า!
นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา “องค์การช่วยเหลือเด็ก” (Save the Children) ก็จัดให้นอร์เวย์เป็น “ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการเป็นแม่” ประจำปี 2558 โดยเอาชนะ “ฟินแลนด์” แชมป์เก่า แถมเมื่อ 20 ธ.ค. ทีมชาติ “แฮนด์บอลหญิง” ของนอร์เวย์ ก็คว้าแชมป์โลกปีนี้ได้อีกด้วย...อะไรจะขนาดนั้น!
“นอร์เวย์” เป็นประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย มีพื้นที่ 385,178 ตร.กม. มีประชากรราว 5.2 ล้านคน มีกษัตริย์ฮารัลด์ที่ 5 เป็นองค์พระประมุข นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นสตรี ชื่อนาง เออร์นา โซลเบิร์ก เป็นสถานที่มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แม้เป็นประเทศเล็กๆ แต่มีสิ่งดีๆ น่าทึ่งมากมาย
นอร์เวย์มี “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” (Sovereign Fund) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเงินส่วนใหญ่ได้มาจากการขาย “น้ำมัน” ส่วนด้านการศึกษา วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ของรัฐได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ซึ่งมีนโยบายให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนระดับอุดมศึกษาได้ จึงไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนเอง
นโยบายนี้ยังใช้กับ นศ.ต่างชาติด้วย ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน!
เรื่อง “ครอบครัว” เสาหลักของสังคม นอร์เวย์ก็ให้ความสำคัญมาก โดยราว 90% ของผู้ชายที่เป็น “คุณพ่อ” มีสิทธิ์ลาพักงานไปช่วยเลี้ยงดูลูกได้อย่างน้อย 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน ส่วน “คุณแม่” ที่มีลูกคนแรก มีสิทธิ์ลาพักงานไปเลี้ยงดูลูกถึง 12 เดือน โดยยังได้รับค่าจ้างเงินเดือนตามปกติ แถมได้รับเงินอุดหนุนเลี้ยงดูลูกจากรัฐอีก
แชมป์โลก-นักกีฬาแฮนด์บอลหญิงทีมชาตินอร์เวย์เฉลิมฉลองชัยชนะ หลังพิชิตทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ในการแข่งขันแฮนด์บอล เวิลด์ แชมเปียนชิพ 2015 รอบชิงชนะเลิศ ที่เดนมาร์ก เมื่อ 20 ธ.ค. (เอเอฟพี)
เรื่องค่าใช้จ่ายในการจัด “งานแต่งงาน” และ “งานศพ” รัฐบาลก็ช่วยจ่ายให้ อย่างน้อยค่าบาทหลวงและทำพิธีในโบสถ์ ใครที่เบื่อขี้หน้านักการเมืองยิ่งไม่ต้องห่วง เพราะนอร์เวย์ห้ามการโฆษณาทางการเมืองใดๆ ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ อีกทั้งมีระบบขนส่งมวลชนทั่วถึงดีเยี่ยม มีนโยบายให้คนใช้รถยนต์น้อยที่สุด โดยตั้งเป้าจะให้ใจกลางกรุงออสโลเมืองหลวงเป็นเขตปลอดรถยนต์ภายในปี 2562 นี้
เรื่อง “รายได้” ไม่ใช่ความลับใดๆ ในนอร์เวย์ โดยเจ้าหน้าที่ด้านภาษีจะเผยแพร่รายได้และฐานะทางการเงินของประชาชนทุกปี ส่วนชาวเกย์ เลสเบียน ไบเซ็กชวล และคนข้ามเพศ (LGBT) ก็มีสิทธิเลือกใช้ชีวิตตามรสนิยมของตนได้โดยเสรี และการแต่งงานของคนรักร่วมเพศเป็นสิ่งถูกกฎหมายตั้งแต่ปี 2552 แล้ว
แต่เหรียญก็มีสองด้านเสมอ สิ่งดีๆ บางครั้งต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเช่นกัน!
นอร์เวย์เก็บ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” สูงที่สุดชาติหนึ่งในโลก คือที่อัตรา 39% หรือบางกรณีสูงถึง 47.5% แต่หลังๆ เริ่มลดลง ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่บอกว่าแม้จะเสียภาษีแพงหูฉี่ แต่ก็คุ้มค่ากับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐจัดให้
ส่วนใครที่ชมชอบสุราเมรัยต้องทำใจ โดยเว็บไซต์ “pintprice.com” ระบุว่าเบียร์ขนาด 1 ไพนต์ (0.57 ลิตร) ในนอร์เวย์ มีราคาแพงเป็นอันดับ 2 ของโลกถึง 10.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 365 บาท) เทียบกับที่ทาจิกิสถาน แค่ 0.45 ดอลลาร์ฯ (ราว 16 บาท) และแม้นอร์เวย์จะเป็นชาติผู้ส่งออกน้ำมัน แต่ราคาน้ำมันก็สูงที่สุดติดอันดับต้นๆ ของโลก
ใกล้เคียงกับเนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง และจิบูตี ปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว เฉลี่ยตกลิตรละ 1.61 ดอลลาร์ (ราว 56.35 บาท) สาเหตุหนึ่งเพราะภาษีน้ำมันสูงมาก แต่ถ้าเทียบกับรายได้ของคนนอร์เวย์แล้ว ถือว่ารับได้สบายๆ
นอร์เวย์ยังมี “ด้านมืด” ที่น้อยคนจะรู้ คือมีอัตราผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาดสูงเป็นอันดับ 2 ในยุโรป เป็นรองแค่ “เอสโทเนีย” คือมีอัตราผู้เสียชีวิตที่ 70 คนต่อประชากร 1 ล้านคน เทียบกับอัตราเฉลี่ยทั่วยุโรปที่ 16 คน
ต่อประชากร 1 ล้านคน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นอย่างนั้น เพราะยาเสพติดในนอร์เวย์แพงมาก พวกขี้ยาจึงมักใช้วิธีฉีดเข้าเส้นเลือดแทนการสูบ เพื่อให้ออกฤทธิ์แรงที่สุด
เรื่องแปลกๆ อีกอย่างก็คือ นอร์เวย์มี “หมาป่า” หลงเหลืออยู่ในป่าน้อยมากแค่ 30 ตัวเท่านั้น แถมรัฐบาลยังออกใบอนุญาตให้ล่าหมาป่าได้ถึง 16 ตัว จาก 30 ตัวนี้
และน่าเศร้า...มีผู้ยื่นขอใบอนุญาตแล้วถึง 11,571 ราย!
บวร โทศรีแก้ว
ที่มา thairath.co.th
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment